ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์สถานีวิทยุคลื่นพุทธบูชา


ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์สถานีวิทยุคลื่นพุทธบูชา

FM 100.25 Mhz

มาทำความรู้จักกับเราสิค่ะ

คลื่นพุทธบูชา" FM100.25 Mhz คลื่นแห่งพระธรรมและเสียงธรรม 20 ชั่วโมง

เปิดสถานี เวลา 05.00 น.-24.00 น.ทุกวันเชิญมาฟังกันนะค่ะ

03 ตุลาคม 2553

ประวัติพระราชภาวนาพินิจ


 
IMG_3364 IMG_6744
IMG_6745 IMG_3350
ประวัติพระราชภาวนาพินิจ(สนธิ์ อนาลโย)

ประวัติพระราชภาวนาพินิจ(สนธิ์ อนาลโย)โดยสังเขป


อัตตชีวประวัติพระราชภาวนาพินิจ (หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย)
นามเดิม ชื่อสุเต นามสกุล คำมั่น เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ตรงกับวันอาทิตย์  ที่บ้านโนนชาติ  อำเภอเลิงนกทา   ซึ่งปัจจุบันเป็นจังหวัดยโสธร  บิดาชื่อ นายเป  คำมั่น  มารดาชื่อนางกันคำมั่น  อาชีพที่บ้านท่านแต่เดิมก็มีอาชีพทำนาเป็นหลักในภาคอีสาน  ในสมัยนั้นก็มีอาชีพเดียวเป็นหลัก  ท่านมีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ส่วนหลวงพ่อเป็นบุตรคนที่สอง  ชื่อเดิมว่าสุเต เพราะท่านเป็นคนที่ชอบสังเกตุ ผู้ใหญ่จึงเรียกว่า สนธิ์ คือมีสิ่งใหม่ให้สังเกตุพิจารณา  ผู้ให้ทำอะไรท่านก็มีความสนใจจึงถูกเรียกว่าสน  เด็กชายสนธิ์  คำมั่น เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดบ้านสร้างมิ่ง ด้วยคุณธรรมที่มีมาแต่เดิมจึงทำให้ท่านเป็นคนชอบสงบ มีนิสัยรักสงบ เชื่อฟังผู้ใหญ่ กลัวต่อความผิด  ซึ่งทำให้ท่านมีอุปนิสัยแตกต่างจาก เด็กในวัยเดียวกัน  ชอบในการเป็นผู้ให้ เช่นให้อาหารบิณฑบาตร กับคุณแม่ในวัยเด็ก  เมื่อคุณแม่ใส่บาตร แก่พระที่มาบิณฑบาตร ท่านจะมีความอิ่มใจ สุขใจ และด้วยบุญบารมีที่ได้สะสมในกาลก่อน  เมื่อท่านได้พบกับภิกษุผู้ภิกขาจาร  ก็ทำให้ท่านมีความเลื่อมใส่  รู้สึกว่าจิตใจสบายเป็นปิติ  ด้วยกำลังแห่งบารมีธรรมที่เต็มบริบูรณ์  จึงทำให้ท่านมีจิตใจที่โน้มเอียงไปในทางออกบวช  ด้วยนิสัยของชาวอีสานในสมัยนั้นมีความเคารพต่อพระพุทธศาสนามาก  เมื่อมีลูกชายก็อยากจะให้บวชเีรียน เขียนอ่าน เป็น  เพราะการศึกษาในสมัยนั้นยังไม่เจริญ  คนที่มีความรู้ความสามารถ ก็จะเกิดจากนักบวช ทิด จารย์ครู คือผุ้บวชแล้วสึกไป มีครอบครัว  คนอีสานก็มีอัตตลักษณ์ของกลุ่มชนที่มีเฉพาะตน  คือเป็นคนรักสงบ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น รักสนุก รักเพื่อนมิตร ดั้งนั้นบิดามารดาของท่านจึงมีความรักในลูกอยากจะให้ลูกได้มีความรู้ความสามารถ  จึงนิยมนำลูกชายของตนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา  เด็กชายสนธิ์ก็เช่นเดียวกัน มีอัศยาศรัยไปใน
การออกบวช จึงชอบไปอยู่วัด เพื่อรับใช้พระ (สังกะรีวัด) คือเป็นผู้คอยรับใช้พระผู้มีอาวุโส เช่น ตมน้ำร้อน น้ำเย็นถวายพระ  ในวัยเด็กของหลวงพ่อสนธิ์ ท่านก็เหมือนเด็กอีสานในสมัยนั้นคือช่วยเหลือพ่อแม่ทำมาหากิน เพราะระดับการศึกษาในยุกนั้นมีน้อย จบแค่ประถม สี่ ก็สามารถอ่านออกเขียนได้แล้ว ถ้าจะให้มีความรู้มากกว่านั้นก็ต้องมาเรียนในตัวเมืองหลวงหรือหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ส่วนความรู้ที่มีมากอีกสาขาหนึ่งคือ วัด ซึ่งเป็นสถานอบรมนิสัยให้แก่ลูกหลาน พระท่านก็ให้เรียนหนังสือผูก เช่น เรียนสนธิ์ เรียนมูล เรียนตัวธรรม เรียนตัวขอม เป็นต้น ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้จารึก(จาร)ไว้ในใบลาน  พระจึงต้องเรียนตัวธรรม (ไทยน้อย) ซึงส่วนมากจารึกเป็นนิทานธรรมบท หรือนิทานพื้นบ้านในอีสาน คือ นางผมหอม ผาแดงนางไอ่ ขู่หลู่ นางอั๋ว เป็นต้น  ดังนั้นจึงทำให้นักปราชญ์อีสานนำมาเขียนเป็นกลอนลำ  คำผญา สุภาษิตสอนหลาน เป็นต้นล้วนออกมาจากภาษาไทยน้อย หรือตัวธรรมในสมัยนั้น  คนอีสานจึงนิยมฟังกันมาก  เพราะมีความเคารพในพระพุทธศาสนา  พระธรรม พระสงฆ์  เพราะฉนั้นคนอีสานทั้งชายหญิงก็อยู่ในจารีต ๑๒ ครอง ๑๔ ซึงเป็นธรรมเนียมของชาวภาคอีสาน เช่น ฮีตปู่ ครองย่า ฮีตป้า ครองลุง ฮีตพ่อ ครองแม่ ฮีตผัว ครองเมีย เป็นต้น ดังนั้นนิสัยของท่านจึงน้อมไปในทางออกบวชตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์


ด้วยความกตัญญูต่อแม่ของท่าน  โดยคุณแม่ทุกคนหวังจะได้เกาะชายผ้าเหลืองของลูก หรือเป็นธรรมยาทในทางพระศาสนา แม่หวังให้ลูกได้บวชเรียนเขียนอ่านก่อน  คือพ่อแม่หวังให้ลูกชายทุกคนได้มาฝึกความเพียร ความอดทน  ความลำบากต่างๆ ในทางพระศาสนา  คือการบวชในอดีต เป็นความลำบากมากคือไฟฟ้าก็ไม่มี  มีแต่ตระเกียง จุดใต้ หรือนำเอายางไม้มาผสมกับไม้ที่ผุแล้วนำมาทำใต่จุดส่องสว่างกันเท่านั้น  การท่องบ่นสาธยายต่างๆก็มีตำราน้อย  บางวัดต้องมาเรียกปากต่อปาก เป็นแบบมุขปาถะ  ดังนั้นท่านจึงมาลำรึกถึงคำแม่สั่งไว้ว่าจะทำอะไรต่อไปให้บวชให้แม่ก่อน  ท่านจึงเดินทางกลับไปที่จังหวัดสกลนคร  และขอบวชที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร   โดยมีพระอาจารย์มหาทองสุก  เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์มหากว่า  สุมโณเป็นพระกรรมวาจารย์ และพระมหาสนธิ์  ขนฺตยาคโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านบวชเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๗  และได้อยู่อุปัชถากอุปัชฌาย์และอาจารย์  ฝึกกัมมัฏฐานกับท่าน ในปีพ.ศ.๑๔๙๘ กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสุทธาวาส เพราะพระอาจารย์กว่า ไม่มีใครอยู่อุปัชถาก จึงต้องกลับไปอยู่กับท่านและเรียนหนังที่วัดป่าสุทธาวาส การทำกัมมัฏฐานในยุกสมัยก่อน ทำอย่างเรียบง่ายแต่ก็เข้มข้น เนื่องจากธรรมมารมณ์ที่จะมากระทบจิตมีน้อยกว่าสมัยนี้มาก  การพิจาณาในสรีระร่างกายก็จะทำให้จิตสลดสังเวชลงได้ง่าย  เพราะคนในสมัยก่อนไม่มีการแต่งตัวมากเหมือนสมัยนี้ ความลำบากปรากฏแก่จิตได้ง่าย ด้านอาหารก็ฉันตามชาวบ้าน โดยเฉพาะภาคอีสานจะเป็นอาหารที่เหมาะแก่การภาวนามากคือ ฉันอาหารป่าเช่นแกงหน่อไม้ แกงเห็ด หลวกผักตามธรรมชาติ ทำให้ผู้ภาวนาธรรมมีอาหารที่เหมาะแก่สัพปายะ เรียกว่าอาหารสัพปายะ ทำให้จิตลงง่าย  จึงทำให้หลวงมีความสุข เย็นสบายจิตจะมีเมตตาธรรมจิตจะปรารภความเพียรอย่างเข้มแข็งมาก ธรรมปรากฏแก่จิต จิตถึงธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมจึงเป็นจิตที่สลัดทิ้งจากราคะ โทสะ โมหะ ได้

 

การอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี

ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่านาภู จังหวัดสกลนคร บังเอิญหลวงปู่เทสก์ เทสรังษี ได้เดินทางมาที่จังหวัดสกลนคร  และหลวงพ่อก็เดินทางร่วมไปกับหลวงปู่เทสก์ เพื่อไปจำพรรษากับหลวงปู่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๙ และได้รับรู้ถึงปฏิปทาของหลวงปู่มั่นได้เป็นอย่างดี เพราะหลวงปู่เทสก์เล่าให้ฟังถึงการปฏิบัติของหลวงมั่น  การได้อยู่ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์  ทำให้หลวงพ่อได้เห็นตัวอย่างการปฏิบัติตนของท่าน  การภาวนาจะเริ่มได้ดีก็ต่อเมื่อเรามีกัลยาณีที่ดี  ติดขัดในข้อปฏิบัติใดๆ ก็สามารถสอบถามได้  หลวงเทสก์ก็ได้เล่าถึงวัตรปฏิบัติ  ให้ฟังจึงทำให้จิตใจได้กำลัง  มีความเพียรในการปฏิบัต  เมื่อเข้าอยู่จำพรรษาโดยธรรมเนียมสายปฏิบัติก็จะพากันเร่งความเพียร อย่างอุกกฤต บางรูปก็ปรารภในการอดอาหาร ในการไม่น้อย ปรารภในการเดินจงกรม  ทุกรูปก็ปรารภเช่น ทำให้วงพระกัมมัฏฐานได้รับความเคารพจากชาวพุทธ เมื่อเป็นอย่างหลวงปู่เทสก์ได้ปรารภกับหลวงพ่อว่าในพรรษานี้เราถือธุดงค์กันในข้อเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร

จำพรรษาที่วัดพุทธบูชา
ด้วยว่าหลวงอายุยังน้อยอยู่จึงอยากจะเรียนพระปริยัติธรรมเพื่อเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ  ท่านจึงกราบเรียนให้หลวงเทสก์ทราบ แต่หลวงปู่เทสก์ก็ได้ปรารภว่า ส่งพระเณรมากรุงเทพก็จะสึกกันหมด ท่านห่วงว่าหลวงพ่อจะเป็นเหมือนพระเณรรูปอื่นจึงได้ปรารภเช่นนั้น แต่ก็อนุญาติให้มาเรียนบาลีที่กรุงเทพได้ ในปีพ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมีพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ได้ฝากให้มาจำพรรษาที่วัดพุทธบูชา ซึ่งเป็นสาขาของวัดวรนิเวศน์วิหาร และได้อยู่จำพรรษาที่วัดพุทธบูชาเป็นเวลาถึง ๘ ปี และในปีพ.ศ.๒๕๐๘ โดยพระอาจารย์ สุวัจน์ ก็พามาฝากที่วัดบรมนิวาส  และกาลต่อมาหลวงพ่อก็ได้ริเริ่มในการจะอบรมพระกัมมัฏฐานที่วัดบรมนิวาส เมื่อท่านกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ท่านก็ได้เปิดการอบรมกัมมัฏฐาน ในปีพ.ศ.๒๕๒๖ โดยได้นิมนต์หลวงปู่พุธ ฐานิโย มาเป็นองค์แสดงธรรมได้รับความนิยมจากญาติโยมเป็นอย่างดี  ต่อมาท่านก็ได้ปรารภกับพระมหาประกอบวัดป่ามหาชัย ว่าเราเป็นการฝึกอบกัมมัฏฐานที่วัดเลย โดยใช้ที่กุฏิหลวงพ่อ(กุฏิผ่องดำรงค์) เมื่อพ.ศ.๒๕๒๗ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เริ่มเวลา ๑๘.๐๐ น.ถึง ๑๙.๐๐น.โดยมีอุบาสก อุบาสิกา พระ เณรมาปฏิบัติกันเป็นประจำ เหมื่อนกันเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดพุทธบูชาในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ ท่านก็ได้เปิดการอบรมปฏิบัติที่วัดพุทธบูชาเป็นประ โดยเอาพระอุโบสถ์เป็นสถานที่ในการปฏิบัติ ในเวลา ๑๘.๐๐น. ถึง เวลา ๑๙.๐๐ น. ทุกวัน จนถึงปัจจุบันนี้
หลวงพ่อกับการปฏิสังขรณ์เสนาสนะ
เมื่อหลวงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดพุทธบูชาอีก  ในปีพ.ศ.๒๕๔๒  ท่านได้ริเริ่มในการบูรณะเสนาสนะภายในวัด  ซึ่งแต่เดิมหลวงพ่อเพิ่มท่านได้ก่อสร้างไว้นาน  สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายก็ดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  เมื่อหลวงสนธิ์ได้มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดพุทธบูชาอีก  ท่านได้เริ่มก่อสร้าง กำแพงวัดให้เป็นสัดส่วน แบ่งเป็นเขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และได้ก่อสร้างซุ้มประตูโขงหน้าวัดอีกสองที่  และได้บูรณะปิดทองพระพุทธชินราชใหม่ก่อนที่จะทำการผูกพัทสีมาใหม่ และได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ศรีพุทธบูชา ขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม  ได้ก่อสร้างกุฏิเพิ่มเติมขึ้นมาอีก 3 หลัง  อาทิเช่น กุฏิอนาลโย กุฏิ 72 ปี เป็นต้น  กระนั้นท่านยังมีเมตตาธรรมรับเป็นภาระธุระให้การสนับสนุนในการก่อสร้างวัดอีกมาก เช่น วัดป่าภูปังจังหวัดอุบลราชธานี วัดป่าอนาลโย จังหวัดนครปฐม และอีกที่จังหวัดราชบุรี  ญาติโยมผู้มีความเลื่อมใส่ในวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อต่างก็ได้ถวายที่ดินเป็นพุทธบูชาอีกหลายแห่ง  นี้คือคุณธรรมของท่านในด้านการส่งเสริมบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะในทางพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าและเป็นที่สัพปายะแก่ทุกท่านที่มาปฏิบัติธรรม นี้คือความเมตตาของหลวงพ่อที่มีแก่สาธุชนทั้งหลาย  จะพบท่านก็ง่าย สบายๆ แบบเป็นกันเองกับทุกคน 

หลวงพ่อกับการอบรมสั่งสอนธรรม

 

พระกรรมฐาน ๕ คือ เกศา คือผมทั้งหลาย  โลมา คือขนทั้ง  นะขา  คือเล็บทั้งหลาย  ทันตา คือฟังทั้งหลาย ตะโจ คือผิวหนังทั้งหลายให้พิจารณาไปตามลำดับ โดยย้อนกลับไปกลับมา ในสี่อริยาบท หรือใช้ท่องบริกรรมภาวนา เป็นสมถะภาวนาย่อมทำให้ท่านผู้บริกรรมอย่างนี้ทำใจของตนเองเข้าถึงฌาน ทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ  สุข และเอกัคคตารมณ์ได้ง่าย  อุบาสกอุบาสิกาบางคนบางท่านที่เขาทำฌาน กันเป็นแล้ว เมื่อภาวนา กรรมฐาน ๕ ได้ไม่กี่นาที ฌาน ๒ อุพเพงคาปีติ ก็ขึ้นทันทีสั่นไปทั้งตัว เสียงดังโครมครามไปหมดได้แค่ฌาน ๒ เท่านั้นก็เห็นนิมิตตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าแต่เป็น คฤหัสถ์อยู่ เห็นครึ่งตัวสวมเสื้อยืด คอแบะสีน้ำตาล ไว้ผมยาวหวีแสกข้าง สักประเดี๋ยวก็เห็นขันน้ำมาวางอยู่ข้างหน้า มีน้ำใสอยู่เต็มขันก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า อ๋อ น้ำใส เต็มขันนั้นเป็นปริศนา เปรียบเทียบ เหมือนจิตเรานั่นเอง เพราะจิตไม่มีตัวตน  "ผู้ที่เห็นนิมิตอย่างนี้มีน้อย(คือผู้ที่เห็นตัวเองออกมานั่งอยู่ข้าง หน้าอย่างนี้)เป็นผู้มีวาสนาสามารถปฏิบัติให้บรรลุถึง นิพพานในชาตินี้ได้" ในขณะที่ทำฌาน ๒ ได้แล้วนั้นรู้สึกเกิดความอิ่มเอิบใจเป็นที่สุดมีความมั่นใจและเชื่อมั่นถึงคำสั่ง สอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นของแท้แน่นอน  เมื่อบวชแล้วท่านอาจารย์ผู้สอนกัมมัฏฐานโดยได้หลวงปู่เทสก์ เป็นผู้แนะนำในการภาวนาดั้งนั้นการภาวนาจึงต้องอาศัยกัลยาณมิตร คือครูบาอาจารย์เป็นมิตรในอาวาสของเรา ประดุจดังพ่อแม่เราเป็นมิตรในเรือนนั้นเอง อ่านประวัติต่อ คลิกที่นี้
อ่านต่อที่นี้

0 comments :

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

วัดพุทธบูชา

Picture 012

Picture 008 Picture 006

Picture 010 Picture 013