มงคลสูตร (มงคล ๓๘ ประการ) (หันทะ มะยัง มังคะละสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส)
อะเสวะนา จะ พาลานัง,.............การไม่คบคนพาล ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา,.............การคบหาสมาคมกับบัณฑิต ปูชา จะ ปูชะนียานัง,.................การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ,...............การอยู่ในประเทศถิ่นฐานอันสมควร ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา,..........การที่ได้กระทำบุญไว้ในปางก่อน อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ,................การตั้งตนไว้โดยชอบธรรม เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ,............ความเป็นผู้ได้สดับรับฟังมาก วินะโย จะ สุสิกขิโต,..................การมีศิลปะ, การมีวินัยที่ได้ศึกษาดีแล้ว สุภาสิตา จะ ยา วาจา,...............การมีวาจาที่กล่าวดีแล้ว เอตัมมังคะละมุตตะมัง,..............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ มาตาปิตุอุปัฏฐานัง,...................การบำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา ปุตตะทารัสสะ สังคะโห,..............การสงเคราะห์บุตรและภริยา อะนากุลา จะ กัมมันตา,..............การเป็นผู้ทำงานไม่คั่งค้าง เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ,..........การให้ทาน, การประพฤติธรรม ญาตะกานัญจะ สังคะโห,............การสงเคราะห์วงศ์ญาติด้วยความเอื้อเฟื้อ อะนะวัชชานิ กัมมานิ,................การทำงานทั้งหลายที่ไม่มีโทษ เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ อาระตี วิระตี ปาปา,...................การงดเว้นจากบาป มัชชะปานา จะ สัญญะโม,..........การไม่ดื่มสุราและเมรัย อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ,..............ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย เอตัมมังคะละมุตตะมัง,..............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ คาระโว จะ นิวาโต จะ,...............การมีความเคารพ, การไม่เย่อหยิ่งจองหอง สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา,.............ความยินดีในของที่ตนมีอยู่, ..............................................การเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทิตา กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง,..............การฟังธรรมตามกาลเวลา เอตัมมังคะละมุตตะมัง,..............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา,..............การเป็นคนมีความอดทน, เป็นคนว่าง่าย สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง,...........การได้เห็นสมณะ กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา,.............การได้สนทนาธรรมตามกาลเวลา เอตัมมังคะละมุตตะมัง,..............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ ตะโป จะ พ๎รัห๎มะจะริยัญจะ,........การมีความเพียรเครื่องเผากิเลส, ...............................................การประพฤติธรรมอันประเสริฐ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง,............การเห็นอริยสัจจ์สี่ นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ,..............การกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ,...............จิตของผู้ใดถูกโลกธรรมกระทบแล้ว จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ,............เมื่อกระทบแล้วจิตไม่หวั่นไหว อะโสกัง วิระชัง เขมัง,................มีจิตไม่เศร้าโศก มีจิตอันปราศจากกิเลส ...............................................เพียงดังธุลี, มีจิตอันเกษมสำราญ เอตัมมังคะละมุตตะมัง,...............นี้เป็นอุดมมงคล, คือเหตุให้ถึงความเจริญ เอตาทิสานิ กัต๎วานะ,..................เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย, ...............................................พากันทำมงคลให้ถึงความเจริญเช่นนี้แล้ว สัพพัตถะมะปะราชิตา,................ย่อมเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ข้าศึกทุกหมู่เหล่า สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ,...........ย่อมถึงความสุขสวัสดิ์ในที่ทุกสถาน ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ,........ข้อนั้นเป็นมงคล,.คือเหตุให้ถึงความเจริญวัฒนาอันสูงสุด ของเทพยดาและมนุษย์เหล่านั้น.......ด้วยประการฉะนี้แล. คำแปลมงคลสูตร เอวัมเม สุตัง ( อันข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาอย่างนี้ ) เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ( สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ) สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน, อนาถะปิณฑิกะ อาราเม ( ประทับอยู่ที่เชตวันวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ) อะถะ โข อัญญะตะรา เทวะตา ( ครั้งนั้นแล เทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ) อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา ( ครั้งเมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีอันงามยิ่งยิ่งนัก ) เกวะละปัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา ( ยังเชตวันทั้งสิ้น ให้สว่าง ) เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ ( พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด ก็เข้าไปเฝ้า ณ ที่นั้น ) อุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อภิวาเทตวา ( ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้ว ) เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ( ได้ยืนอยู่ในที่สมควรแห่งหนึ่ง ) เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวตา ( ครั้นเทวดานั้น ได้ยืนในที่สมควรแห่งหนึ่งแล้ว แล ) ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ ( ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคาถาว่า ) พะหู เทวา มะนุสสา จะ ( หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ) มังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานัง ( ผู้หวังความสวัสดี ได้คิดหามงคลทั้งหลาย ) พรูหิ มังคะละมุตตะมัง ( ขอพระองค์จงเทศนา มงคลอันสูงสุด ) อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ( พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า การไม่คบคนพาลทั้งหลาย ๑ การคบคบบัณฑิตทั้งหลาย ๑ ) ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การบูชาชนที่ควรบูชาทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุเพ จะ กะตะปุญญะตา ( การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ การเป็นผู้มีบุญอันทำแล้วในกาลก่อน ๑ ) อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การตั้งตนไว้ชอบ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต ( การเป็นผู้ฟังมาก ๑ ศิลปะ๑ วินัยอันชนศึกษาดีแล้ว ๑ ) สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( วาจาอันชนกล่าวดีแล้ว ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห ( การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑ ) อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การงานทั้งหลายที่ไม่อากูล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห ( การให้ ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติทั้งหลาย ๑ ) อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การกระทำทั้งหลายไม่มีโทษ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม ( การงดเว้นจากบาป ๑ การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑ ) อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา ( การเคารพ ๑ การไม่จองหอง ๑ การยินดีในของที่มีอยู่ ๑ การเป็นคนกตัญญู๑ ) กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การฟังธรรมตามกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง ( ความอดทน ๑ การเป็นคนว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะทั้งหลาย ๑ ) กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การเจรจาธรรมโดยกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง ( ความเพียรเผากิเลส ๑ การประพฤติอย่างพรหม ๑ การเห็นอริยสัจทั้งหลาย ๑ ) นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ ( จิตของผู้ใด อันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ) อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ( ไม่มีโศก ปราศจากธุลี เกษม ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ) เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา ( เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย กระทำมงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง) สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ ( ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เหล่านั้น แล ฯ )
|
0 comments :
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น