วัดพุทธบูชา

เลขที่ 181 หมู่ 3 ถ.พุทธบูชา ซอย 30 ริมคลองบางมด แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 โทร. 02-426-3667, 02-874-8108

พระประธานในอุโบสถ

พระพุทธชินราชจำลอง ของวัดพุทธบูชานี้ มีขนาดเท่าองค์จริง มีหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว (๒.๘๗๕ เมตร) สูง ๗ ศอก หล่อด้วย ทองสัมฤทธิ์ (เป็นโลหะผสมระหว่างทองเหลืองและดีบุก) น้ำหนัก ๓ ตัน (๓,๐๐๐ กิโลกรัม) มีพุทธลักษณะที่งดงาม มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ เรือนแก้ว (ลวดลายคล้ายตัวพญานาค ดุจรัศมีล้อมรอบองค์พระ) ยักษ์ (มีลักษณะกึ่งนั่งกึ่งยืนมือขวาถือกระบองอยู่ปลายเรือนแก้วทางด้านซ้าย) มาร (ลักษณะอยู่ในท่ากำลังเหาะมือทั้งสองข้างจับบ่วงบาศบนศรีษะ อยู่ปลายเรือนแก้วตรงด้านขวา) ฝาผนังด้านหลังขององค์พระ ลงรัก เขียนลวดลายปิดทองเป็นรูปใบไม้และดอกไม้ มีปูนปั้นนูนรูปเทพบูชา (หมู่เทวดา นางอัปสร โปรยดอกไม้เพื่อเป็นพุทธบูชา) พร้อมสมบูรณ์ เหมือนองค์จริงทุกประการ ประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่ ราคาในการก่อสร้างองค์พระ๒๘๑,๐๐๐ บาท

คลื่นพุทธบูชา FM100.25 MHz

สถานีวิทยุกระจายพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสังคม

พระราชภาวนาพินิจ พระราชภาวนาพินิจ

หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย ท่านจะดำรงตำแหน่งเป็นเจาอาวาส วัดพุทธบูชา

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์สถานีวิทยุคลื่นพุทธบูชา


ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์สถานีวิทยุคลื่นพุทธบูชา

FM 100.25 Mhz

มาทำความรู้จักกับเราสิค่ะ

คลื่นพุทธบูชา" FM100.25 Mhz คลื่นแห่งพระธรรมและเสียงธรรม 20 ชั่วโมง

เปิดสถานี เวลา 05.00 น.-24.00 น.ทุกวันเชิญมาฟังกันนะค่ะ

13 ตุลาคม 2554

ภาพงานวันทอดกฐินวัดพุทธบูชา13 ตุลาคม 2554

DSCN0067

งานบุญกฐินในปีนี้ เป็นการทอดถวายผ้ากฐินที่มีสาธุชนมาเป็นเจ้าภาพร่วมกันถึง 421 ท่านเพื่อสมทบทุนก่อสร้างอาคารปริยัติธรรม อนาลโย 80 ปี สำหรับปีนี้ได้ทุนประเดิม 4818886.99 บาท สี่ล้าน แปดแสน หนึ่งหมื่น แปดพัน แปดร้อย แปดสิบสามบาท เก้าสิบเก้าสตางค์ ในนามคณะสงฆ์วัดพุทธบูชาขออนุโมทนาในบุญกับสาธุชนทุกๆท่าน ไว้ณ.โอกาสนี้  ขออายุ วรรณะ สุขะ พละ จงมีแด่ท่านทุกเมื่อ เทอญ

11 ตุลาคม 2554

แนวทางการเจริญวิปัสสนาโดยอ.สุจิน บริหารวนเขต์

_31_309

_3_419_20_773%CB%C5~1_4_645%BE%C3~1_1_127

แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 1



แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 2



แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 3



แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 4



แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 5



แนวทางเจริญวิปัสสนา โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหาวนเขต ชุด 7


          ภาพไปเที่ยวเมืองเหนือ งานหลวงปู่มหา บัว ญาณสัมปัณโณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

พญานาคเกี้ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างไร

 

เมื่อพ ร ะ โ ม ค คั ล ล า น ะ ต่ อ สู้ กั บ พ ญ า น า ค

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

หากพระองค์เสด็จไปทรมานก็จะหันมานับถือพระรัตนตรัย แล้วจะเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านของอนาถบินฑิกเศรษฐี ทรงรับสั่งท่านพระอานนท์ให้สงฆ์ทราบว่า พระองค์จะเสด็จไปเทวโลกก่อนที่จะไปฉันที่บ้านของท่านเศรษฐี บรรดาพระมหาสาวกก็พาบริวารของตนเอง มาคอยรับเสด็จพระพุทธองค์ แล้วติดตามเหาะไปสู่พรหมโลกด้วยกายเนื้อ



พ ญ า น า ค ข ว า ง ท า ง ไ ป สู่ ส ว ร ร ค์
..........ในสมัยนั้น พระยานาคชื่อนันโทปนันทะ เนรมิตรกายให้งดงามประดุจเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ นั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ เสวยทิพยสมบัติด้วยใจเบิกบานทีเดียว ครั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระสาวกเหาะมาก็โกรธตามประสาผู้มีทิฏฐิมานะว่า “สมณะเหล่านี้เห็นทีจะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไปก็ต้องเหาะข้ามหัวเราไป ฝุ่นละอองที่ติดเท้าก็จะร่วงหล่นใส่เรา ควรที่เราขึ้นไปห้ามเสียก่อน ไม่ให้เหาะข้ามไปเด็ดขาด” คิดแล้วก็เอาหางรัดเขาพระสุเมรุซึ่งสูงประมาณ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ไว้ ๗ รอบ เลิกพังพานปิดเมืองดาวดึงส์อันมีบริเวณ ๑๒ โยชน์ และปรากฏอยู่เหนือยอดเขาพระสุเมรุ บันดาลให้เป็นหมอกควันมืดอนธการไปหมด
..........พระรัฐปาลเถระเห็นความผิดปรกติเช่นนั้น ก็ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า เมื่อก่อนข้าพระองค์ยืนอยู่ตรงนี้ สามารถมองเห็นภูเขาที่อยู่ล้อมภูเขาพระสุเมร และได้เห็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นเวชยันตปราสาท ได้เห็นธงเบื้องบนเวชยันตปราสาท แต่มา ณ บัดนี้ไม่เห็นอะไรเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอะไรพระเจ้าข้า” เมื่อทราบว่า พญานาคเป็นเพียงสัตว์ดิรัจฉานผู้มีอานุภาพเท่านั้น แต่บังอาจมาขัดขวางหนทางพระพุทธเจ้า ก็อาสาที่จะปราบพระยานาคให้สิ้นฤทธิ์เสียเลย แต่ท่านก็ถูกพระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้เสียก่อน พระอรหันต์รูปอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพระภัททิยะ พระราหุล ต่างก็ทูลอาสาที่จะไปปราบพญานาค พระองค์ก็ทรงห้ามเอาไว้เหมือนกัน ด้วยทรงทราบว่าไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั้งหลายที่จะทำลายทิฏฐิมานะของพญานาค ผู้มีฤทธานุภาพมาก หากไม่ระวังอาจถูกนาคทำร้ายถึงขั้นต้องตาย คือเข้านิพพานกันก่อนเวลาสมควรก็เป็นได้ ครั้นเมื่อพระมหาโมคัลลานะทูลอาสา จึงทรงอนุญาตพร้อมทั้งทรงประทานพรให้มีชัยชนะแก่พระยานาค

พ ร ะ โ ม ค คั ล ล า น ะ ต่ อ สู้ กั บ พ ญ า น า ค
..........พระมหาโมคคัลลานะ ครั้นได้รับพุทธานุญาตแล้วก็คิดว่า พระยานาคราชนี้เข้าใจว่าตัวเองมีฤทธิ์มาก ไม่มีใครเปรียบได้ จึงได้คิดอกุศลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า จำเราจะทรมานเสียให้สิ้นพยศ ท่านคิดดังนั้นแล้ว ก็เนรมิตกายเป็นพระยานาคที่มีร่างกายยาวใหญ่กว่าพระยานันโทปนันทะถึง ๒ เท่า มีพังพานประมาณแสนโกฏิ ประดับไปด้วยแก้วและทองงดงาม แล้วรัดกายของพระยานาคราชนั้นให้แน่นเข้ากับเขาพระสุเมรุ มิให้เคลื่อนไหวได้ ฝ่ายพระยานาคถูกนาคพระมหาโมคคัลลาน์รัดจนแทบกระดูกแตกก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก ได้พ่นพิษให้เป็นควันพุ่งใส่พระเถระเต็มที่ แต่พระมหาโมคคัลลาน์ก็บันดาลให้ควันเกิดขึ้นมากยิ่งกว่า ปราบฤทธิ์ของพระยานาค
..........พระยานาคขัดเคืองมาก ก็พ่นควันพิษเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงเข้าใส่ พระเถระก็เข้าเตโชกสิณ เนรมิตไฟที่ร้อนแรงกว่าให้เกิดขึ้น ไฟของพระยานาคไม่อาจระคายเคืองผิวของพระเถระได้เลย แต่พยานาคกลับถูกไฟของพระเถระเบียดเบียนจนร้อนรุ่มยิ่งนัก พระยานาคคิดว่า “สมณะนี้ชื่ออะไรหนอ ทำไมจึงมีฤทธิ์มากอย่างนี้” พระเถระก็บอกให้ทราบว่าเป็นสาวกเบื้องซ้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระยานาคจึงหาเรื่องต่อว่า “ท่านเป็นสมณะ ทำไมจึงมาทำร้ายข้าพเจ้า การกระทำของท่านมิควรแก่สมณะเลย”
..........ท่านพระเถระตอบว่า “เรานี้ไม่ได้ลงโทษท่านเพราะความโกรธ แต่ที่ทรมานท่านนั้นน่ะ ก็หวังจะให้ท่านละความเห็นผิด ให้ตั้งอยู่ในทางของพระอริยเจ้า” ว่าแล้วก็กลับเพศเป็นพระมหาโมคคัลลาน์พร้อมกับสอนว่า “เจ้าเป็นเดียรัจฉานมีความประมาท มิรู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนมารดาบิดาครูอาจารย์ ควรแล้วหรือที่ท่านจะมาสำแดงความโกรธในพระพุทธเจ้า และพระสาวกที่เหาะมาแล้วเนรมิตกายปิดกั้นหนทางไปของพระองค์ แม้ละอองพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะตกลงมาเหนือเศียรของท่าน ก็จะเกิดมงคลยิ่งนัก หาเป็นอัปมงคลไม่
..........พวกเทวดาทั้งหลายพร้อมทั้งเหล่ามนุษย์ล้วนแต่ประณมหัตถ์นมัสการ ตั้งความปรารถนาที่จะบูชาพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดูก่อนพระยานาคราช ผู้ที่บังเกิดขึ้นมาในโลกนี้นั้น ยากนักที่จะได้เป็นพระพุทธเข้า บางคนเกิดมานับหมื่น ๆ ชาติก็มิได้พานพบ อย่าว่าแต่การได้พบพระองค์เลย แม้แต่รอยพระบาทก็ยากที่จะพบ เพราะทวยเทพทั้งหลายมาลบรอยพระบาทเสียก่อน หากว่าพระองค์ทรงอธิษฐานไว้ จึงจะประดิษฐานอยู่ไม่ลบเลือน
..........ผู้ใดเลื่อมใสในพระองค์แล้ว จะได้ผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ จะได้เสวยทิพยสมบัติในเทวโลกชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๖ ชั้นในภายหน้า เพราะพระพุทธเจ้ามีอานุภาพเป็นอจินไตย คุณของพระองค์ก็มากมายเกินกว่าจะพรรณนาให้หมดสิ้นไปได้ ท่านสิเป็นเดียรัจฉานชั้นต่ำ ซ้ำยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ มากล่าวร้ายพระพุทธเจ้า มีแต่จะต้องไปบังเกิดในนรกอย่างเดียวเท่านั้น”

_28_439พ ญ า น า ค ถู ก ป ร า บ
..........ถึงกระนั้นพญานาคก็ยังไม่ยอมเชื่อถ้อยคำของพระเถระ ยังมีทิฏฐิมานะเหมือนเดิม คิดแต่จะหาทางกำจัดพระเถระให้ได้ พระเถระรู้วาระจิตของพญานาค จึงเข้าไปทางช่องหูเบื้องขวาของพระยานาค แล้วออกทางช่องหูเบื้องซ้าย เข้าไปทางช่องหูเบื้องซ้ายออกทางช่องหูเบื้องขวา เข้าทางช่องจมูกเบื้องขวาออกทางช่องจมูกเบื้องซ้าย เข้าทางจมูกเบื้องซ้ายออกทางจมูกเบื้องขวา พระยานาคถูกทรมานอย่างนั้นก็เกิดทุกขเวทนายิ่งนัก คิดว่า “ในนาคพิภพไม่มีใครจะสู้ฤทธิ์เดชของเราได้ แต่สมณะนี้กลับทรมานเราจนไม่อาจอดทนได้ต่อไป คอยดูเถอะ เราจะล่อหลอกให้สมณะนี้เข้าไปทางปากของเรา แล้วจะเคี้ยวให้แหลกละเอียด” คิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาว่าสมณะย่อมมีแต่เมตตากรุณา ทำแต่สิ่งที่ชอบธรรมมิได้ขาด แต่นี่พระผู้เป็นเจ้ามาแกล้งทรมานข้าพเจ้าให้เป็นทุกข์ ก็พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่ามิได้โกรธข้าพเจ้า เหตุไรจึงลงโทษข้าพเจ้าเล่า” ว่าแล้วก็อ้าปากแยกเขี้ยวเข้าใส่หมายจะเข่นฆ่าด้วยความโกรธ
..........ฝ่ายพระเถระได้ฟังแล้วก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ทั้งในคำขู่และคำกล่าวหาใดๆ เลย ท่านบอกว่า “การที่เราทรมานท่านนั้น ก็เพราะหวังจะให้ท่านมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าอันจะเป็นอุปนิสัยติดไปในภายหน้า ใช่ว่าจะเกลียดชังท่านก็หามิได้” ว่าแล้วก็ปาฏิหาริย์กายให้เล็กลง เหาะวับเข้าไปในปากของพระยานาค ท่านเข้าไปเดินจงกรมอยู่ในท้องของพระยานาคทำให้พญานาคเจ็บปวดทรมานเหลือประมาณ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
..........ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า “บัดนี้พระยานาคได้พ่ายแพ้แก่พระมหาโมคคัลลาน์บุตรของเราแล้ว” ทรงเปล่งโอภาสอยู่บนนภากาศ ตรัสเตือนท่านพระเถระว่า “พระยานาคตัวนี้มีฤทธิ์ยิ่งนัก ท่านจงมนสิการให้ดี อย่าได้ประมาท” พระเถระทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญอิทธิบาท ๔ มา มิได้เกียจคร้าน ทำจนชำนาญปรารภอยู่มิได้ขาด ย่อมไม่กลัวพระยานาคนี้ แม้ว่าจะมีพระยานาคที่มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพระยานาคตัวนี้สักแสนเท่า ข้าพระพุทธเจ้าก็หากลัวไม่”
..........ฝ่ายพระยานาคได้แกล้งทำเป็นขอร้องว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้เบียดเบียนเราเลย จงออกมาจากท้องของเราเสียเถิด” ท่านเถระทราบวาระจิตของพระยานาค ก็เหาะออกมานั่งอยู่ข้างนอก ฝ่ายพระยานาคยังไม่สิ้นพยศ คิดจะระบายลมออกจากจมูกให้แรง จนแม้จะถูกต้นไม้ ต้นไม้ก็หักโค่น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ทราบวาระจิตของนันโทปนันทนาคราช ก็เข้าจตุตถฌานรักษาตนไว้มิให้เป็นอันตราย ลมที่เร่าร้อนนั้นไม่อาจจะทำความระคายผิวหรือเส้นขนของพระเถระได้เลย ซึ่งพระอรหันต์รูปอื่นอาจจะทำปาฏิหาริย์ได้ แต่การเข้า-ออก จตุตถฌานอย่างชำนาญไม่ติดขัดเหมือนพระมหาโมคคัลลานะเถระ ไม่ใช่ทำได้ง่าย นี่จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตเฉพาะพระมหาโมคคัลลานะเถระเท่านั้น


พ ญ า น า ค ยึ ด เ อ า พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า เ ป็ น ส ร ณ ะ
..........พระยานาคเห็นพระเถระมิได้รับอันตรายแต่อย่างไร ก็รู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมา เพราะมองไม่เห็นวิธีการที่จะต่อสู้กับพระเถระได้ คิดว่า “สมณะองค์นี้มีฤทธิ์มากยิ่งนัก ถ้าเราจะสู้ต่อไปก็น่าที่จะได้รับความลำบากมากกว่านี้ คงถึงตายเป็นแน่ จำเราจะต้องรีบหนีไปเสียก่อน ไม่ยอมให้สมณะรูปนี้ทรมานอีกต่อไปได้” ท่านพระเถระทราบว่าพญานาคกำลังจะหนี จึงเนรมิตกายให้เป็นพญาครุฑใหญ่บินติดตามไล่ล่า พระยานาคก็แปลงกายเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ โตบ้าง เล็กบ้าง เพื่อหลบหนีไป พระเถระก็ติดตามมิได้ลดละ พญานาคเมื่อเห็นว่าจะหนีไม่พ้น จึงแปลงกายเป็นมาณพน้อยเข้าไปกราบแทบเท้าของพระเถระ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ายอมแพ้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีใจบาปหยาบช้า มิได้เห็นประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตน มาพบพระผู้เป็นเจ้าก็มิได้ถวายอภิวาท ขอพระผู้เป็นเจ้า จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
..........พระเถระกล่าวว่า เราเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เพราะฉะนั้น ท่านจงไปสำนักของพระพุทธเจ้าเพื่อยึดเอาพระองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดเถิด ว่าแล้วก็พาพระยานาคไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไปถึงพญานาคก็ก้มลงกราบนมัสการแล้วกราบทูลว่า “ข้าพเจ้านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นพาลมิได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ขอพระองค์ได้โปรดอโหสิกรรมในความผิดที่ได้ทำพลั้งพลาดเพราะอกุศลเข้าสิงจิตนั้นด้วยเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแน่ชัดแล้วว่า พระองค์เป็นนาบุญของทายกทั้งปวง จำเดิมแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าขอสละรูปกายบูชาพระรัตนตรัยไปจนตราบชีวิตจะหาไม่”
ม ห า เ ศ ร ษ ฐี ฉ ล อ ง ชั ย ช น ะ แ ก่ พ ร ะ เ ถ ร ะ
..........พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานศีล ๕ ให้รักษาแล้วก็พาพระสาวกกลับไปบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็ทูลถามว่า“วันนี้เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาสาย พระเจ้าข้า” ทรงตอบว่า “เป็นเพราะโมคคัลลานเถระ ทำสงครามกับนันโทปนันทนาคราช” “แล้วใครแพ้ใครชนะ พระพุทธเจ้าข้า” “พญานาคพ่ายแพ้โมคคัลลาน์” ท่านเศรษฐีได้สดับแล้ว ก็ชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก ทั้งเลื่อมใสต่อพระมหาเถระ และเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้มีอานุภาพอันไม่มีประมาณ จึงอยากจะฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ท่านได้กระทำการบูชาสักการะพระอรหันต์ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยการถวายสังฆทาน ๗ วัน
..........จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า เพียงฤทธานุภาพของพระมหาสาวกก็ยังสามารถปราบพระยานาคผู้มีฤทธิ์มากได้ อานุภาพของพระบรมศาสดายิ่งจะต้องมีมากกว่านั้นร้อยเท่าพันทวี เพราะในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก จะหาบุคคลผู้มาเสมอเหมือนพระองค์ไม่มีเลย มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ทุกหมู่เหล่า ไม่อาจเทียบได้ทั้งด้านปัญญา อานุภาพหรือมหากรุณา เพราะฉะนั้น ในชัยมงคลคาถาจึงได้ถือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีชัยแก่พระยานาคราช นับเป็นการมีชัยครั้งที่ ๗ ของพระองค์ที่พระโบราณจารย์ได้บันทึกเอาไว้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราเอง จะนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า นอบน้อมต่อพระรัตนตรัยซึ่งมีคุณอันไม่มีประมาณ นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ ที่พึ่งที่ระลึกอย่างอื่นของพวกเราไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอันเกษมสูงสุดของเรา และหมั่นสวดสรรเสริญเจริญพุทธคุณอยู่เป็นประจำอย่าได้ขาด
..........ผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกำลัง ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมอันเลิศ เลื่อมใสในรัตนะอันเลิศ คือเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลชั้นเยี่ยมเลื่อมใสในพระธรรมอันประเสริฐ อันปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไปสงบ เป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทานในสิ่งที่เลิศ ปราชญ์ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ ให้สิ่งที่เลิศ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึงสถานที่เลิศบันเทิงใจอยู่.....

นนฺโทปนนฺทภุชคํ วิพุธํ มหิทฺธึ
ปุตฺเตน เถรภุชเคน ทมาปยนฺโต
อิทฺธูปเทสวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจอมมุนี ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส
ไปปราบนันโทปนันทนาคราช ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มากด้วยวิธีให้แสดงฤทธิ์ทรมาน ให้สิ้นฤทธิ์
ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงเกิดมีแก่ท่าน

02 ตุลาคม 2554

How to กินข้าวให้ได้บุญทุกมื้อ by Dhammasarokikku

IMG_2542ห่างเหินการเขียนบทความธรรมะมาเสียนาน วันนี้มาเคาะสนิมออกสักหน่อย เขียนบทความธรรมะส่งท้ายเดือนเกิดดีก่า

กินเจกันดีไหม?

ช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจ บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย บางคนก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของการกินเจเป็นอย่างดี บางคนไม่เข้าใจ บางคนไปคอยจับผิดคนกินเจว่า ทำไมจะต้องทำให้มีรูปร่างเหมือน กลิ่นเหมือน รสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ เช่นนั้นจักได้ประโยชน์กระไร? จักละกิเลสกระไร? นานาจิตตังครับ ทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำเทศน์ของครูบาอาจารย์ครับว่า

สาธุ.... จะกินเนื้อ กินเจ ขี้ก็เหม็นเหมือนเดิม กินเจ ขี้เหม็นน้อยกว่า ก็เหม็นอยู่ดี สำคัญว่ากินเจ คือการตั้งใจทำความดี คือไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเขา ถ้าเทียบในบารมี 10 นะ เขาก็ได้ ทานบารมี ศีลบารมี ได้เนกขัมมะ สมาธิ ออกจากเรือนไปช่วยงานศาลเจ้า ปัญญาได้ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา มากน้อยเกิดแตกต่างกันไป
เรื่องข้อเสีย เราอย่าไปมอง มันขาดกำไร ไม่ได้ลงทุนกับเขาไปว่าเขา นี้ขาดทุน ไม่ได้ลงทุน แต่อนุโมทนา นี้ได้กำไร

ส่วนตัวแล้วข้าพเจ้ารู้สึกเฉย ๆ กับการกินเจ กินมังสวิรัติ รวมถึงการอดอาหาร แต่ก็มิได้รู้สึกต่อต้าน และก็มิได้ไปจับผิดใคร เขาทำความดี เราโมทนา เราก็ได้บุญไปกับเขาด้วย โดยไม่ต้องใช้ความพยายามกระไรเลย จะไปแอนตี้ให้ขาดทุนทำไม? กระทั่งคำเสียดสีก็ไม่ควรใช้ครับ (เห็นบ่อยบน FB) คำที่ไปทำร้ายจิตใจคนที่กำลังพยายามทำความดีอยู่ ทำให้เขาเสียกำลังใจนั้นไม่ฉลาดเลย การทำเช่นนั้นถึงเวลาที่เราจักได้มรรคผลบ้าง ก็จักเจอคนมาทำให้เสียกำลังใจทำความเพียรเช่นกัน

มีข้อแนะนำเล็ก ๆ เท่านั้นเองว่า อย่ากินเจเพื่อสนองอัตตา ตัวตน ตัวกู ว่าข้าเก่ง ข้าทำได้ ข้าดีกว่าคนอื่นที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ อย่างนั้นลำบากเสียเปล่าครับ ไม่ได้ประโยชน์กระไร ยิ่งไปเบ่งทับคนอื่นนี่นอกจากไม่ได้บุญแล้ว ยังได้บาปกลับมาด้วย คือไปเพิ่มมานะอัตตาตัวตน หรืออีโก้ให้มากขึ้น พยายามทำตัวเราให้ดีครับ ไม่ต้องไปดูคนอื่น

ที่ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นนั้น ก็เพราะครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าทดลองฉันมาทุกแบบทุกอย่าง ฉันมังสวิรัติ ฉันเจ ฉันถั่ว ฉันงา ฉันมาก ฉันน้อย จนไม่ฉันเลย อดอาหารหลาย ๆ วัน กิเลสมันมิได้สะเทือนเลยสักกระผีก ไม่ว่าจะกินยากกินลำบากแค่ไหน บรรเทาได้แค่กิเลสหยาบ ๆ ระงับความเมามันในรส ในรูปร่าง ในกลิ่นเท่านั้น มีข้อดีคือทำให้เป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย ไม่ลำบากญาติโยมแค่นั้นเอง

แต่เชื่อไหมครับ? ทั้งที่ท่านตัดกิเลสจากการขบฉันที่ไม่ปกติทุกอย่างไม่ได้เลย สุดท้ายท่านบรรลุอรหัตตผลเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาได้ด้วยข้าวเพียงคำเดียว ภายในเวลาเพียง ๕๕ วันเท่านั้น

จิตคนเราบริสุทธิ์หลุดพ้น ด้วยปัญญา ครับ มิใช่อย่างอื่น

เพราะฉะนั้นเราต้องขบฉันกันด้วยปัญญา มิใช่ขบฉันกันด้วยการทรมานกาย และมิใช่ขบฉันกันสบายตามใจกิเลสจนเกินไป มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางนั่นเอง เป็นหนทางอันประเสริฐ (แต่ท่านบอกไว้ครับว่า ฉันเจ ฉันมังสวิรัติ ฉันน้อย ทำให้เจริญพระกรรมฐานได้ดีขึ้น เบา สบาย เทพยดาอำนวยพร)

บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยข้าวคำเดียว

ช่วงที่ท่านปฏิบัติอย่างเข้มข้นนั้น มีพระผู้ใหญ่มาสอนครับ สอนให้ท่านพิจารณาข้าวเพียงคำเดียวนี่ละ ไม่ต้องพิจารณาอย่างอื่น

แต่การพิจารณาของท่านมีเคล็ดไม่ลับนะครับ คือท่านเจริญพระกรรมฐาน มีการนั่งสมาธิ เป็นต้น ก่อน เข้าฌานสมาบัติลึกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แล้วถอยออกมาที่อุปจารสมาธิ หรือปฐมฌาน (สมาธิขั้นต้น) แล้วค่อยเริ่มพิจารณา การทำเช่นนี้ ทำให้จิตบริสุทธิ์ชั่วคราว พ้นไปจากกิเลสชั่วคราว จิตมีกำลังมาก มีปัญญาแหลมคมมาก เห็นความเป็นจริง ยอมรับได้ง่าย และตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน (ขาดสิ้นเชิงไม่กำเริบอีก) ได้ง่ายด้วย

ท่านสอนให้เริ่มพิจารณาว่า ข้าวสวยเมล็ดหนึ่งที่เรากินเข้าไปนี่ มันมาจากไหน? มันมาจากข้าวสารใช่ไหม ข้าวสารต้องซื้อต้องหามา อาการหาเงินไปซื้อข้าวมานี่ มันอาการของสุขหรือทุกข์? มีข้าวสารแล้วก็ยังไม่พอ ต้องมีหม้อ มีน้ำ มีเตา มีเชื้อเพลิง หรือไฟฟ้า ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินไปหาซื้อมา การหาเงินมาซื้อนั่นซื้อนี่นั้น มันเป็นอาการของสุขหรือทุกข์?

ภาพประกอบจาก : http://www.thaisiamboonphong.com/

ย้อนกลับไปอีก หากเรามิได้มีเงินไปซื้อข้าวสาร เราก็ต้องไปปลูกข้าวกินเอง ใครเคยไปลองปลูกข้าวก็คงทราบดีว่า การปลูกข้าวนั้นมันลำบากขนาดไหน หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ต้องหว่าน ต้องไถ ต้องดำนา ต้องใส่ปุ๋ย ต้องกำจัดวัชพืช ต้องกำจัดศัตรูพืช ต้องเก็บเกี่ยว สุดท้ายได้ข้าวเปลือกมา ก็ยังต้องเอาไปสีอีก กว่าจักได้มาเป็นข้าวขาว ๆ ให้เราหุง อาการทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอาการของสุขหรือทุกข์? (ยิ่งไปอยู่ที่กันดาร ข้าวยิ่งปลูกยาก เช่น บนดอย พื้นราบไม่มี ต้องทำเกษตรขั้นบันได ทั้งที่ลำบากยากเย็นขนาดนั้นแล้ว บางทีก็ยังถูกซ้ำเติมด้วยศัตรูพืช เช่น หนู แมลง ปลูกตั้งมาก ขยันแทบตาย แต่ได้ข้าวไม่พอกิน น่าสงสารมากครับ)

ภาพประกอบจาก : http://www.thaisiamboonphong.com/

การทำนาทั้งหลาย ก็ยังไม่โหดเท่าตอนที่บุกเบิกแผ้วถางเอาป่ามาทำเป็นนาข้าว (เมื่อก่อนก็เคยสงสัยครับว่า ทำไมเมืองจีนพื้นที่ตั้งกว้างใหญ่ไพศาล ปลูกข้าวไม่พอกิน เพราะจริง ๆ การปลูกข้าวมิใช่เรื่องง่าย บรรพบุรุษของเราเหนื่อยบุกเบิกกันมามาก กว่าเราจักได้สบายในวันนี้) สมัยก่อนมิได้มีเลื่อยยนต์เหมือนปัจจุบัน ต้องใช้แรงคน ช้าง ม้า วัว ควาย ทั้งสิ้นในการโค่นต้นไม้ โค่นเสร็จยังไม่พอ ต้องมาเผาตอไม้ เผาเสร็จแล้วยังต้องขุดรากมันขึ้นมาอีก ขุดเสร็จแทบรากเลือด ยังต้องมาปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกัน ต้องทำคันนา อาการทั้งหมดนี้ เป็นอาการของสุขหรือทุกข์?

ถ้าคำตอบทั้งหมดคือทุกข์ แล้วเรายังจักพอใจการเกิดกันอีกหรือ? เพียงข้าวคำเดียวยังทุกข์ได้ขนาดนี้?

ท่านพิจารณาซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้ จนบรรลุอรหัตตผลครับ ภายในเวลาไม่ถึง ๒ เดือนดี

นั่นเป็นวิธีแบบฉบับของท่านครับ (ท่านอาจจะทำบุญด้วยข้าวมาเยอะ วัตถุมงคลยังมีชื่อว่า "พระคำข้าว" เลย) คนเราทุกคนมีวิธีบรรลุมรรคผลเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนกันเลยสักคนเดียว ของท่านใช้การพิจารณาข้าวคำเดียว ของเราอาจเป็นอย่างอื่น กระนั้นการพิจารณาเรื่องทุกข์ของข้าวคำเดียวนี้ ก็เป็นสิ่งที่ควรระลึกถึง เพราะสิ่งใดที่ทำให้เราคลายความเมามันในกามคุณ ๕ มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ล้วนเป็นบุญทั้งสิ้น

ทีนี้ถ้าเรากำลังใจไม่ถึงอย่างนั้นเล่า จักพอมีวิธีอื่นให้พิจารณา ทำให้เรากินข้าวแล้วได้บุญทุกมื้อหรือไม่?

ปกติคนเราเวลาจะกินข้าว ก็ต้องไปเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบมากินก่อน พอจานข้าวมาวางตรงหน้า ผนวกกับท้องที่กำลังหิว ก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว ใครจะกิน ใครจะไม่กิน กรูไม่สน กรูจะกินของกรูละ

วิธีกินให้ได้บุญ คือ พิจารณาก่อนครับ แค่เริ่มมาก็ได้บุญแล้ว ที่เรากินเพราะหิวนี่เรากินเพราะสัญชาตญาณครับ สัตว์เดรัจฉานก็ทำได้ แต่หากเราหยุดพิจารณาอาหารก่อนกิน นั่งมองมันสักแป๊บนึง นี่เราก็ได้บุญแล้ว บุญจากอะไรหนอ?

บุญจาก "สติ" ครับ

การที่เราเบรคตัวเอง ไม่โจนเข้าหาอาหารด้วยอำนาจแห่งความหิวนั้น เบื้องต้นท่านได้สติมาตุนติ๊ดนึงก่อนแล้ว เพราะคนทั่วไปส่วนใหญ่จะกินโดยขาดสติ รู้สึกตัวอีกที อะ อะ... อิ่มซะแล้ว!!!

(ความจริงตรงนี้ฝึกง่ายนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ก่อนจะกินอะไร คนจะเบรคติ๊ดนึงอยู่แล้ว เฮ้ย... ตรูถ่ายรูปไปลงเฟสบุ๊คก่อนดีปะ? การทำเช่นนั้นได้สติ <คนขาดสตินั่นกว่าจะรู้ตัวว่าควรถ่ายรูปอาหารไปลงเฟสบุ๊ค ก็หมดไปแล้วค่อนจาน หรืออิ่มไปแล้วค่อยนึกได้> แต่ไม่ได้ปัญญา คือเป้าหมายมิได้ละตัวตน แต่พอกพูนตัวตน การพอกพูนตัวตน เป็นการเพิ่มทุกข์ มิใช่พ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ เราต้องมีทั้งสติและปัญญา)

 

บุญขั้นต่อไป คือเราต้องพิจารณาเห็นความจริงของอาหาร เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เราไม่มัวเมาไปใน รูป รส กลิ่น ซึ่งในสมถกรรมฐาน ๔๐ กอง มีกองหนึ่งเป็นเรื่องอาหารโดยตรง คือ อาหาเรปฏิกูลสัญญา

แปลว่า จงจำไว้นะ!!! ว่าอาหารที่เราเจี๊ยะกันอย่างหอเจี๊ยะหอเจ๊าะนี่ มันคือสิ่งสกปรก มีวิธีพิจารณาได้ล้านแปดตลบมาก จักลองยกตัวอย่างให้ดูสักเล็กน้อย

๑. ถ้าอาหารสะอาด มันคงไม่เน่า แต่ทิ้งไว้ไม่นานมันก็เน่าบูดทุกจานไป แสดงว่า มันมีเชื้อความสกปรกแฝงอยู่ในตัวมัน

๒. อาหารที่เป็นพืชนี่ เขาต้องใส่ปุ๋ย ปุ๋ยทั้งหลาย ก็อิขี้ดี ๆ นี่เอง เขาเอาขี้มารดต้นไม้ ทำให้มันงอกงาม เสร็จแล้ววาดภาพขี้ในใจไปด้วย รับรอง อาหารอร่อยแค่ไหน ก็กินไปงั้น ๆ แหละ บางทีพาลกินไม่ลงไปเลย 5555+

๓. อาหารที่เป็นเนื้อนี่ มันก็มาจากสัตว์ สัตว์ก็ไปกินพืช พืชก็มาจากขี้ ฉะนั้นเนื้อสัตว์น่ากินแค่ไหน มันก็มาจากขี้นั่้นเอง นึกภาพไปถึงที่เราปล่อยลงส้วมไปเมื่อเช้าด้วยครับ แหวะ ๆ ๆ ... เอิ๊ก ๆ

๔. จะบอกว่า อาหารสะอาด เพราะทำสุกแล้ว ฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน ทว่าถ้าสะอาดจริง ทำไมหลังรับประทานเข้าไปแล้ว ก็ต้องไปแปรงฟัน ล้างปาก ล้างมือ ถ้ามันสะอาด มันก็คงต้องหอมหวลชวนดมไปตลอดจริงปะ?

๕. นอกจากอาหารจะสกปรกแล้ว อิตัวเราเองนี้ก็สกปรกด้วย อาหารที่ว่าสะอาด ๆ ลองเอาใส่ปากเคี้ยว ๆ สักหน่อย แล้วคายออกมาสิ จะกล้ากินเข้าไปใหม่ไหม? ถามว่า ทำไมไม่กิน ก็เพราะมันสกปรก อ้าว... เมื่อกี้มันยังสะอาดอยู่เลย เข้าไปกลั้วกับน้ำลายในปากเราแป๊บเดียว สกปรกไปแล้วเรอะ? ตกลงตัวเรานี้มันก็สกปรกโสโครกด้วยงั้นสิ?

๖. จริง ๆ แล้ว ร่างกายเรานี้มันก็สกปรกอิ๊บอ๋ายเลยแหละ ลองไม่อาบน้ำสักเจ็ดวันสิ เน่าสนิท ที่ว่าหอม ๆ สะอาด ๆ กันหน่ะ มันกลิ่นสบู่กลิ่นแชมพูกลิ่นน้ำหอมทั้งสิ้น บรรจงสรรหาทำกันก็เพื่อปกปิดความโสโครกของร่างกายเราชั่วคราวเท่านั้นเอง ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็ต้องไปทำความสะอาดมันอีก แล้วเราจักยังพอใจผิวหนังกำพร้าบาง ๆ ที่ห่อหุ้มความโสโครกข้างในกันอีกหรือ? ลองลอกหนังกำพร้าออกมาสิ ทั้งน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง จักพร่างพรูออกมา ร่างกายเรามันก็เหมือนถุงห่อขี้ห่อเยี่ยวนั่นเอง โสโครกไปเสียหมด

อ้าว... คุยเรื่องอาหารสกปรกอยู่ ข้ามมาเรื่องอสุภะได้ไงเนี่ยะ ความจริงมันก็เรื่องเดียว ๆ กันหมดนั่นแล ไม่ว่าจะอาหาร หรือขี้ หรือตัวเรา ก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดินน้ำไฟลมสกปรกซกมกพอ ๆ กัน เพียงแต่เรามาพิจารณาให้เห็นความจริงเท่านั้น ท่านแนะไว้กรรมฐานกองนี้ เหมาะแก่ผู้ที่เป็นราคจริต ชอบอะไรสวย ๆ งาม ๆ เป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นแล

นี่เรากินข้าวกันมื้อหนึ่ง ถ้าพิจารณาได้สักนิดสักหน่อย ไม่ต้องเยอะหรอก วันละนิดวันละหน่อยก็พอ ก็ได้บุญไปตุนกันเพียบเลย

หรือจะเอาแบบพระ เวลาพระฉันภัตตาหารนี่ ท่านพิจารณาว่า "ปฏิสังขา โยนิโส..." แปลว่า อาหารทั้งหลายนี้ ไม่ได้กินเพื่อความอิ่มหมีพีมันของร่างกาย ไม่ได้กินเพื่อความเมาในรูป ในรส ในกลิ่น กินเพื่อระงับเวทนาเก่า (ความหิว) บรรเทาเวทนาใหม่ กินเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้น...

อันนี้ก็ได้บุญมากเช่นกัน

ได้บุญมากที่สุด ก็ต้องพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ กินก็ทุกข์ ไม่กินก็ทุกข์ กินก็แก่ ไม่กินก็แก่ กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย บังคับอะไรไม่ได้ซ้ากอย่าง... หามีกระไรน่ายึดน่ามั่นหมาย คลายกำหนัด เข้าวิปัสสนา หลุดพ้นกันไปเลย อันนี้ก็ตามแต่อัธยาศัย และอินทรีย์อ่อนแก่ของแต่ละคน

ไม่เห็นจะยากเลยใช่ไหมล่า? มาเริ่มกินข้าวให้เป็นบุญกันครับ

เจริญธรรม ฯ

วัดพุทธบูชา

Picture 012

Picture 008 Picture 006

Picture 010 Picture 013